ใน 1 ซองมีสารอาหารที่จำเป็น
ต่อร่างกายครบถ้วน มากถึง 28 ชนิด
ทานวีเบต้าโปรตัวเดียวดูแลได้ครบ ทุกระบบในร่างกาย
ไม่ต้องไปสรรหาอาหารเสริมที่อื่นทานเพิ่มเลย
ต่อร่างกายครบถ้วน มากถึง 28 ชนิด
ทานวีเบต้าโปรตัวเดียวดูแลได้ครบ ทุกระบบในร่างกาย
ไม่ต้องไปสรรหาอาหารเสริมที่อื่นทานเพิ่มเลย
" ดูแล ฟื้นฟู ยับยั้งมะเร็ง "
1. Yeast Beta Glucan 85% (ยีตส์ เบต้า-กลูแคน)
ประโยชน์ของยีสต์เบต้ากลูแคน ( Yeast Beta Glucan 85%)
✔️ บรรเทาโรคมะเร็งร้าย เบต้ากลูแคนจะช่วยให้เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันด่านแรกของเราทำลายเชื้อโรค และเซลล์แปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเพิ่มจำนวน และกระตุ้นการทำงานของเลือด ให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น
✔️ เหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถชะลอไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้น้ำตาลค่อย ๆ ไหลเข้าสู่กระแสเลือดแบบที่ควรจะเป็น ลดระดับความต้องการอินซูลินของร่างกายลงได้ อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูสภาพของตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอินซูลินตามธรรมชาติ ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
✔️ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดง เบต้ากลูแคนจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดของคุณลดลงได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดความเสี่ยงของโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวก ป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอย่างได้ผล
✔️ชะลอวัย ผิวหนังเต่งตึง เพิ่มความยาวนานให้วัยหนุ่มสาวเบต้ากลูแคนมีประโยชน์ในการกระตุ้นเซลล์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างเส้นใยที่ทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญที่จำเป็นต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน อีลาสติน รวมทั้งกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น ลดริ้วรอย ผิวดูมีน้ำมีนวล ชุ่มชื้น และที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคนจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังของเราแข็งแรง คงรูป ไม่อ่อนเหลว กลับเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
✔️ช่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติเข้าไปช่วยเพิ่มจำนวนและกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่คอยจำแนกสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่เคยทำงานผิดปกติ สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✔️ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ตัวเอง เบต้ากลูแคน เป็นสารอาหารที่ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งเบต้ากลูแคนจะเข้าไปลดสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการภูมิแพ้ อีกทั้งยังควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากเกินไป
✔️ช่วยสมานแผล เบต้ากลูแคนยังมีอีกหนึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่น โดยสามารถรักษาแผลผิวหนังอักเสบได้ โดยเบต้ากลูแคนจะเข้าไปเพิ่มภูมิต้านทานของเม็ดเลือดขาวให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นตัวหลักในการรักษาแผลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น แผลจากศัลยกรรม ผ่าตัด เบาหวาน และรักษาอาการผิวแห้ง ซึ่งเบต้ากลูแคนช่วยให้แผลหายไว รอยแผลเป็นจางลง ลดการติดเชื้อ และลดอัตราการตายของเซลล์
✔️ลดการติดเชื้อ เบต้ากลูแคน ช่วยลดปัญหาการติดเชื้อต่าง ๆ ทั้งการติดเชื้อจากการผ่าตัด และการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน ทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันกำจัดเชื้อแบคทีเรีย โดยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของเซลล์ อีกทั้งยังมีการใช้เบต้ากลูแคนในการลดการติดเชื้อในกระแสเลือด ด้วยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
✔️รักษาและบรรเทาระบบทางเดินอาหาร เบต้ากลูแคนช่วยบรรเทาอาการท้องผูก หรือโรคที่เกิดจากภาวะทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายกลับไปสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มท้องง่าย อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นอาหารของพรีไบโอติกในลำไส้ ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดภาวะกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารอีกมากมาย
ข้อมูลอ้างอิง
1.วารสารเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยสยาม ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2561 “การสกัดและการประยุกต์ใช้เบต้ากลูแคนจากยีสต์”
2.https://omgthailand.net/12-benefits-of-beta-glucan/
✔️ บรรเทาโรคมะเร็งร้าย เบต้ากลูแคนจะช่วยให้เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันด่านแรกของเราทำลายเชื้อโรค และเซลล์แปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเพิ่มจำนวน และกระตุ้นการทำงานของเลือด ให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น
✔️ เหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถชะลอไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้น้ำตาลค่อย ๆ ไหลเข้าสู่กระแสเลือดแบบที่ควรจะเป็น ลดระดับความต้องการอินซูลินของร่างกายลงได้ อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูสภาพของตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอินซูลินตามธรรมชาติ ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
✔️ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดง เบต้ากลูแคนจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดของคุณลดลงได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดความเสี่ยงของโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวก ป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอย่างได้ผล
✔️ชะลอวัย ผิวหนังเต่งตึง เพิ่มความยาวนานให้วัยหนุ่มสาวเบต้ากลูแคนมีประโยชน์ในการกระตุ้นเซลล์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างเส้นใยที่ทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญที่จำเป็นต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน อีลาสติน รวมทั้งกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น ลดริ้วรอย ผิวดูมีน้ำมีนวล ชุ่มชื้น และที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคนจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังของเราแข็งแรง คงรูป ไม่อ่อนเหลว กลับเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
✔️ช่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติเข้าไปช่วยเพิ่มจำนวนและกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่คอยจำแนกสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่เคยทำงานผิดปกติ สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✔️ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ตัวเอง เบต้ากลูแคน เป็นสารอาหารที่ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งเบต้ากลูแคนจะเข้าไปลดสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการภูมิแพ้ อีกทั้งยังควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากเกินไป
✔️ช่วยสมานแผล เบต้ากลูแคนยังมีอีกหนึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่น โดยสามารถรักษาแผลผิวหนังอักเสบได้ โดยเบต้ากลูแคนจะเข้าไปเพิ่มภูมิต้านทานของเม็ดเลือดขาวให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นตัวหลักในการรักษาแผลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น แผลจากศัลยกรรม ผ่าตัด เบาหวาน และรักษาอาการผิวแห้ง ซึ่งเบต้ากลูแคนช่วยให้แผลหายไว รอยแผลเป็นจางลง ลดการติดเชื้อ และลดอัตราการตายของเซลล์
✔️ลดการติดเชื้อ เบต้ากลูแคน ช่วยลดปัญหาการติดเชื้อต่าง ๆ ทั้งการติดเชื้อจากการผ่าตัด และการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน ทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันกำจัดเชื้อแบคทีเรีย โดยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของเซลล์ อีกทั้งยังมีการใช้เบต้ากลูแคนในการลดการติดเชื้อในกระแสเลือด ด้วยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
✔️รักษาและบรรเทาระบบทางเดินอาหาร เบต้ากลูแคนช่วยบรรเทาอาการท้องผูก หรือโรคที่เกิดจากภาวะทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายกลับไปสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มท้องง่าย อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นอาหารของพรีไบโอติกในลำไส้ ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดภาวะกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารอีกมากมาย
ข้อมูลอ้างอิง
1.วารสารเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยสยาม ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2561 “การสกัดและการประยุกต์ใช้เบต้ากลูแคนจากยีสต์”
2.https://omgthailand.net/12-benefits-of-beta-glucan/
2. Egg Albumin Protein (สารสกัดโปรตีนจากไข่ขาว)
ประโยชน์และหน้าที่ของโปรตีนอัลบูมินไข่ขาว
✔️เป็นแหล่งโปรตีนที่จำเป็นในการสร้างอัลบูมินในกระแสเลือด : Serum Albumin หรืออัลบูมิน ในกระแสเลือดเป็นโปรตีนหลักที่พบในกระแสเลือดที่ผลิตโดยตับแล้วจึงปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด มีหน้าที่ในการสร้างความสมดุลย์ในกระแสเลือด หากขาดอัลบูมินในกระแสเลือดแล้วจะทำให้เกิดภาวะบวมน้ำของร่างกายได้ โดยผู้ป่วยที่ตับมีปัญหา เช่น ผู้ป่วยมะเร็งตับ จะไม่สามารถสร้างอัลบูมินนี้ได้เพียงพอ สาเหตุที่สำคัญเกิดจากการรับประทานโปรตีนไม่เพียงพอ การบริโภคไข่ขาวซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนอัลบูมินจึงสามารถช่วยบรรเทาและควบคุมอาการดังกล่าวได้
✔️ป้องกันการติดเชื้อ : หากร่างกายได้รับพลังงานหรือโปรตีนไม่เพียงพอ ตับจะไม่สามารถสร้างอัลบูมินได้ เมื่อมีปริมาณอัลบูมินในกระแสเลือดต่ำ นอกจากจะมีภาวะบวมน้ำยังมีผลทำให้ติดเชื้อง่ายอีกด้วย
✔️แหล่งพลังงาน : ถึงแม้อัลบูมินจะให้พลังงานน้อยแต่สามารถให้พลังงานได้ยาวนานกว่าอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตและที่สำคัญไม่มีคอเลสเตอรอล
✔️ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ : ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกาย ป้องกันการเสียหายของกล้ามเนื้อ การฉีกขาดของกล้ามเนื้อ จึงมีความจำเป็นต่อนักกีฬาและผู้ออกกำลังกายที่ต้องการเนื้อ
✔️เป็นแหล่งโปรตีนที่จำเป็นในการสร้างอัลบูมินในกระแสเลือด : Serum Albumin หรืออัลบูมิน ในกระแสเลือดเป็นโปรตีนหลักที่พบในกระแสเลือดที่ผลิตโดยตับแล้วจึงปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด มีหน้าที่ในการสร้างความสมดุลย์ในกระแสเลือด หากขาดอัลบูมินในกระแสเลือดแล้วจะทำให้เกิดภาวะบวมน้ำของร่างกายได้ โดยผู้ป่วยที่ตับมีปัญหา เช่น ผู้ป่วยมะเร็งตับ จะไม่สามารถสร้างอัลบูมินนี้ได้เพียงพอ สาเหตุที่สำคัญเกิดจากการรับประทานโปรตีนไม่เพียงพอ การบริโภคไข่ขาวซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนอัลบูมินจึงสามารถช่วยบรรเทาและควบคุมอาการดังกล่าวได้
✔️ป้องกันการติดเชื้อ : หากร่างกายได้รับพลังงานหรือโปรตีนไม่เพียงพอ ตับจะไม่สามารถสร้างอัลบูมินได้ เมื่อมีปริมาณอัลบูมินในกระแสเลือดต่ำ นอกจากจะมีภาวะบวมน้ำยังมีผลทำให้ติดเชื้อง่ายอีกด้วย
✔️แหล่งพลังงาน : ถึงแม้อัลบูมินจะให้พลังงานน้อยแต่สามารถให้พลังงานได้ยาวนานกว่าอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตและที่สำคัญไม่มีคอเลสเตอรอล
✔️ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ : ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกาย ป้องกันการเสียหายของกล้ามเนื้อ การฉีกขาดของกล้ามเนื้อ จึงมีความจำเป็นต่อนักกีฬาและผู้ออกกำลังกายที่ต้องการเนื้อ
3. Pea Protein (สารสกัดโปรตีนจากถั่วลันเตา)
ประโยชน์ของ Pea Protein (พีโปรตีน) หรือโปรตีนจากถั่วลันเตา
✔️ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ Pea Protein เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง ที่มีกรดอะมิโนครบถ้วนทั้ง 9 ชนิด ซึ่งช่วยซ่อมแซม เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อได้ดี อีกทั้ง pea protein ยังมีกรดอะมิโน เช่น แอล-อาร์จินีน (L-arginine) ที่มีช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ รวมทั้งช่วยกระตุ้น
โกรทฮอร์โมน (human growth hormone) อีกด้วย จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the International Society of Sports Nutrition เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 สรุปว่า โปรตีนถั่วลันเตาสามารถใช้แทนเวย์ได้ในการสร้างกล้ามเนื้อ
✔️ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ดังงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology พบว่า การทานโปรตีนจากพืชในระยะยาวช่วยลดโรคหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นหากเรามีภาวะเสี่ยงด้านหัวใจอยู่แล้ว คุณควรทานอาหารที่ช่วยลดค่าการอักเสบ เช่น Pea protein และอาหารจากพืชอื่นๆ
✔️ช่วยลดความดันโลหิต มีการศึกษามากมายพบว่าการบริโภค pea protein เพียงไม่กี่กรัมต่อวันก็เพียงพอที่จะช่วยในการลดความดันโลหิตได้ จากการศึกษาในปี 2016 ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์การอาหาร ได้มีการสำรวจว่าหนูที่มีความดันโลหิตสูงโดยธรรมชาติที่กิน pea protein hydrolysate ในระยะเวลาสั้นๆ และระยะยาว จะช่วยลดความดันโลหิตในหนูได้หลังจากผ่านไปเพียงสามสัปดาห์
✔️ช่วยป้องกันและชะลอความเสียของไต หากเราบริโภคโปรตีนมากเกินไปอาจเป็นอัตรายต่อไตได้ หรือการบริโภคโปรตีนบางชนิด เช่น เวย์ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายต่อไต ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด มีก๊าซ และปัญหาอื่นๆ ในระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตามมีการศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่า pea protein เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต โดย University of Manitoba พบว่า pea protein ป้องกันหรือชะลอความเสียหายของไตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้
✔️ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด Pea Protein (พีโปรตีน) มีส่วนช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในหลายด้าน และอาจทำให้เกิดอาการของเบาหวานได้ เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง กระหายน้ำ บาดแผลหายช้า เป็นต้น
แหล่งข้อมูล :
https://ihealzy.com/green-peas/
✔️ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ Pea Protein เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง ที่มีกรดอะมิโนครบถ้วนทั้ง 9 ชนิด ซึ่งช่วยซ่อมแซม เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อได้ดี อีกทั้ง pea protein ยังมีกรดอะมิโน เช่น แอล-อาร์จินีน (L-arginine) ที่มีช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ รวมทั้งช่วยกระตุ้น
โกรทฮอร์โมน (human growth hormone) อีกด้วย จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the International Society of Sports Nutrition เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 สรุปว่า โปรตีนถั่วลันเตาสามารถใช้แทนเวย์ได้ในการสร้างกล้ามเนื้อ
✔️ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ดังงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology พบว่า การทานโปรตีนจากพืชในระยะยาวช่วยลดโรคหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นหากเรามีภาวะเสี่ยงด้านหัวใจอยู่แล้ว คุณควรทานอาหารที่ช่วยลดค่าการอักเสบ เช่น Pea protein และอาหารจากพืชอื่นๆ
✔️ช่วยลดความดันโลหิต มีการศึกษามากมายพบว่าการบริโภค pea protein เพียงไม่กี่กรัมต่อวันก็เพียงพอที่จะช่วยในการลดความดันโลหิตได้ จากการศึกษาในปี 2016 ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์การอาหาร ได้มีการสำรวจว่าหนูที่มีความดันโลหิตสูงโดยธรรมชาติที่กิน pea protein hydrolysate ในระยะเวลาสั้นๆ และระยะยาว จะช่วยลดความดันโลหิตในหนูได้หลังจากผ่านไปเพียงสามสัปดาห์
✔️ช่วยป้องกันและชะลอความเสียของไต หากเราบริโภคโปรตีนมากเกินไปอาจเป็นอัตรายต่อไตได้ หรือการบริโภคโปรตีนบางชนิด เช่น เวย์ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายต่อไต ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด มีก๊าซ และปัญหาอื่นๆ ในระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตามมีการศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่า pea protein เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต โดย University of Manitoba พบว่า pea protein ป้องกันหรือชะลอความเสียหายของไตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้
✔️ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด Pea Protein (พีโปรตีน) มีส่วนช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในหลายด้าน และอาจทำให้เกิดอาการของเบาหวานได้ เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง กระหายน้ำ บาดแผลหายช้า เป็นต้น
แหล่งข้อมูล :
https://ihealzy.com/green-peas/
4. Plu Kaow (Quercetin) สารสกัดจากพลูคาว
ประโยชน์ของพลูคาว (Plu Kaow Quercetin)
✔️มีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
✔️มีฤทธิ์ในการช่วยบำบัดฟื้นฟูโรคความดันโลหิตสูง
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต้านทานโรค ช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้อยู่สู้โรคได้นานมากขึ้น
✔️มีส่วนช่วยยับยั้งเบาหวาน รักษาความสมดุลของร่างกาย
✔️ช่วยทำให้กระดูกเชื่อมติดกันเร็วขึ้น
✔️ใช้รักษาโรคติดเชื้อและทางเดินหายใจ
✔️ใช้ทารักษาและช่วยต้านเชื้อโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่
✔️ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยา ช่วยรักษาอาการติดเชื้อเฉียบพลัน ติดเชื้อทางเดินหายใจ
✔️ใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาที่เป็นน้ำยาข้น ใช้ทารักษาคางทูม ต่อมทอนซิลอักเสบ และปอดอักเสบในเด็ก
✔️ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ (ทั้งต้น)
✔️มีส่วนช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวช่วยรักษาภาวะภูมิแพ้ หอบหืด
✔️ช่วยรักษาอาการปอดบวม ปอดอักเสบ
✔️ช่วยรักษาฝีหนองในปอด
✔️ช่วยรักษาอาการคั่งน้ำในอกจากโรคมะเร็ง (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
✔️ช่วยลดอาการบวมน้ำ (ทั้งต้น)
✔️ใช้เป็นยาระบาย อาหารไม่ย่อย
✔️รักษาอาการท้องเสีย ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
✔️ช่วยรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร
✔️ช่วยรักษาโรคหนองใน ใช้ปรุงเป็นยาแก้กามโรค ช่วยรักษานิ่ว
ช่วยแก้โรคไต ช่วยรักษาอาการไตผิดปกติ (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
ช่วยรักษาโรคตับอักเสบชนิดดีซ่าน (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
✔️ช่วยรักษาการอักเสบบริเวณกระดูกเชิงกราน
✔️ประโยชน์ของพลูคาวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสชนิดต่าง ๆ เช่น ไข้ทรพิษ หัด งูสวัด เริม เอดส์ (HIV)
✔️หมาะกับผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกาย ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น
✔️เหมาะกับผู้ที่ต้องการ Detox ล้างพิษออกจากร่างกาย ป้องกันโรคร้าย ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้โรคต่าง ๆ มีอาการดีขึ้น และหายจากอาการของโรคต่าง ๆ ได้ในที่สุด
✔️ใช้ควบคู่กับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้น้อยลง
✔️มีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
✔️มีฤทธิ์ในการช่วยบำบัดฟื้นฟูโรคความดันโลหิตสูง
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต้านทานโรค ช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้อยู่สู้โรคได้นานมากขึ้น
✔️มีส่วนช่วยยับยั้งเบาหวาน รักษาความสมดุลของร่างกาย
✔️ช่วยทำให้กระดูกเชื่อมติดกันเร็วขึ้น
✔️ใช้รักษาโรคติดเชื้อและทางเดินหายใจ
✔️ใช้ทารักษาและช่วยต้านเชื้อโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่
✔️ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยา ช่วยรักษาอาการติดเชื้อเฉียบพลัน ติดเชื้อทางเดินหายใจ
✔️ใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาที่เป็นน้ำยาข้น ใช้ทารักษาคางทูม ต่อมทอนซิลอักเสบ และปอดอักเสบในเด็ก
✔️ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ (ทั้งต้น)
✔️มีส่วนช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวช่วยรักษาภาวะภูมิแพ้ หอบหืด
✔️ช่วยรักษาอาการปอดบวม ปอดอักเสบ
✔️ช่วยรักษาฝีหนองในปอด
✔️ช่วยรักษาอาการคั่งน้ำในอกจากโรคมะเร็ง (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
✔️ช่วยลดอาการบวมน้ำ (ทั้งต้น)
✔️ใช้เป็นยาระบาย อาหารไม่ย่อย
✔️รักษาอาการท้องเสีย ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
✔️ช่วยรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร
✔️ช่วยรักษาโรคหนองใน ใช้ปรุงเป็นยาแก้กามโรค ช่วยรักษานิ่ว
ช่วยแก้โรคไต ช่วยรักษาอาการไตผิดปกติ (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
ช่วยรักษาโรคตับอักเสบชนิดดีซ่าน (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
✔️ช่วยรักษาการอักเสบบริเวณกระดูกเชิงกราน
✔️ประโยชน์ของพลูคาวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสชนิดต่าง ๆ เช่น ไข้ทรพิษ หัด งูสวัด เริม เอดส์ (HIV)
✔️หมาะกับผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกาย ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น
✔️เหมาะกับผู้ที่ต้องการ Detox ล้างพิษออกจากร่างกาย ป้องกันโรคร้าย ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้โรคต่าง ๆ มีอาการดีขึ้น และหายจากอาการของโรคต่าง ๆ ได้ในที่สุด
✔️ใช้ควบคู่กับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้น้อยลง
5. Fructo-oligosaccharide Powder 90%
ประโยชน์ของ ฟรุคโต โอลิโกแซคคาไรด์ FOS (พรีไบโอติก)
✔️ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุลำไส้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค
✔️ปรับการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
✔️เพิ่มความเป็นกรดในลำไส้ ลดปริมาณแอมโมเนียและยูเรียในเลือด
✔️เป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกาย
✔️เพิ่มการดูดซึมกลับของน้ำและโซเดียม มีประโยชน์ในผู้ที่เกิดอาการท้องเสีย
✔️Propionate ที่ได้จากการย่อยโดยแบคทีเรีย มีผลดีต่อเมทาบอลิซึมของกลูโคสและไขมัน ช่วยรักษาระดับกลูโคสและไขมันในเลือดให้เป็นปกติ
✔️ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุลำไส้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค
✔️ปรับการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
✔️เพิ่มความเป็นกรดในลำไส้ ลดปริมาณแอมโมเนียและยูเรียในเลือด
✔️เป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกาย
✔️เพิ่มการดูดซึมกลับของน้ำและโซเดียม มีประโยชน์ในผู้ที่เกิดอาการท้องเสีย
✔️Propionate ที่ได้จากการย่อยโดยแบคทีเรีย มีผลดีต่อเมทาบอลิซึมของกลูโคสและไขมัน ช่วยรักษาระดับกลูโคสและไขมันในเลือดให้เป็นปกติ
6. Zinc Amino Acid Chelate (แร่ธาตุซิงค์)
ประโยชน์ของซิงก์ (Zinc)
✔️ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกาย
✔️เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน
✔️สังกะสีมีความจำเป็นต่อการสร้าง DNA
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
✔️ซิงค์เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์สำคัญมากมาย รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่างซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD)
✔️ช่วยในการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มการตื่นตัวทางจิต
✔️ช่วยในการรักษาสิว บรรเทาอาการอักเสบของสิว ด้วยการไปรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง ช่วยควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมัน
✔️ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย และยังช่วยป้องกันและรักษาการเป็นหมันด้วย
✔️ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้เป็นปกติ และเป็นส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์
✔️ช่วยป้องกันและรักษาอาการผมหลุดร่วงได้
✔️ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหารและหลอดลม
✔️ช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากและมะเร็งต่อมลูกหมาก
✔️มีส่วนช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอล
✔️ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยและบรรเทาอาการของโรคหวัด
✔️ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา
✔️ช่วยในการรักษาผู้ป่วยทางจิตหรือโรคจิตเภท
✔️ช่วยรักษาภาวะการมีบุตรยาก
✔️ช่วยกำจัดจุดขาวบนเล็บมือ
✔️ช่วยเร่งให้แผลทั้งภายในและภายนอกหายเร็วยิ่งขึ้น
✔️ช่วยลดอาการอักเสบและรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส
✔️ช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อตามร่างกาย
✔️มีความสำคัญต่อความเสถียรของเลือด ช่วยควบคุมสมดุลกรดด่างในร่างกาย
✔️สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส ซึ่งทำหน้าที่ในการกำจัดแอ
✔️ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกาย
✔️เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน
✔️สังกะสีมีความจำเป็นต่อการสร้าง DNA
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
✔️ซิงค์เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์สำคัญมากมาย รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่างซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD)
✔️ช่วยในการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มการตื่นตัวทางจิต
✔️ช่วยในการรักษาสิว บรรเทาอาการอักเสบของสิว ด้วยการไปรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง ช่วยควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมัน
✔️ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย และยังช่วยป้องกันและรักษาการเป็นหมันด้วย
✔️ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้เป็นปกติ และเป็นส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์
✔️ช่วยป้องกันและรักษาอาการผมหลุดร่วงได้
✔️ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหารและหลอดลม
✔️ช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากและมะเร็งต่อมลูกหมาก
✔️มีส่วนช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอล
✔️ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยและบรรเทาอาการของโรคหวัด
✔️ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา
✔️ช่วยในการรักษาผู้ป่วยทางจิตหรือโรคจิตเภท
✔️ช่วยรักษาภาวะการมีบุตรยาก
✔️ช่วยกำจัดจุดขาวบนเล็บมือ
✔️ช่วยเร่งให้แผลทั้งภายในและภายนอกหายเร็วยิ่งขึ้น
✔️ช่วยลดอาการอักเสบและรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส
✔️ช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อตามร่างกาย
✔️มีความสำคัญต่อความเสถียรของเลือด ช่วยควบคุมสมดุลกรดด่างในร่างกาย
✔️สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส ซึ่งทำหน้าที่ในการกำจัดแอ
7. Selenium Amino Acid Chelate 1%
ประโยชน์ของซีลิเนียม (Selenium Amino Acid Chelate)
✔️ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งลำไส้, มะเร็งปอด, มะเร็งหลอดอาหาร โดยไปทำให้เซลล์แบ่งตัวช้าพอที่จะให้เซลล์ที่ถูกสารก่อให้เกิดมะเร็งทำลายมีเวลาซ่อมแซมโครโมโซมของมันเองได้ ถ้าโครโมโซมของเซลล์ถูกทำลาย มันอาจจะกลายเป็นเนื้อร้ายถ้าไม่ได้รับการซ่อมแซมก่อนจะแบ่งตัว
✔️ ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบ โดยการผลิตพรอสตาแกลนดินส์ ช่วยในการทำให้เม็ดเลือดไม่จับกลุ่มกันอุดหลอดเลือด จึงเป็นการป้องกันหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบ
✔️ ช่วยหัวใจทำงานดีขึ้น และส่งเสริมการสร้างกำลังของเซลล์โดยการนำออกซิเจนไปเลี้ยงให้เพียงพอ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย และโรคลมปัจจุบัน
✔️ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งลำไส้, มะเร็งปอด, มะเร็งหลอดอาหาร โดยไปทำให้เซลล์แบ่งตัวช้าพอที่จะให้เซลล์ที่ถูกสารก่อให้เกิดมะเร็งทำลายมีเวลาซ่อมแซมโครโมโซมของมันเองได้ ถ้าโครโมโซมของเซลล์ถูกทำลาย มันอาจจะกลายเป็นเนื้อร้ายถ้าไม่ได้รับการซ่อมแซมก่อนจะแบ่งตัว
✔️ ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบ โดยการผลิตพรอสตาแกลนดินส์ ช่วยในการทำให้เม็ดเลือดไม่จับกลุ่มกันอุดหลอดเลือด จึงเป็นการป้องกันหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบ
✔️ ช่วยหัวใจทำงานดีขึ้น และส่งเสริมการสร้างกำลังของเซลล์โดยการนำออกซิเจนไปเลี้ยงให้เพียงพอ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย และโรคลมปัจจุบัน
8. Chia Seed Powder
ประโยชน์เมล็ดเจีย (Chia Seed)
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันดีโอเมก้า-3 และ โอเมก้า-6 ช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เกิดการไหลเวียนเลือดดีเข้าสู่หัวใจ จึงเป็นผลให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น
✔️เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่อุดมด้วยไฟเบอร์สูงที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านโรคเบาหวานประเภท 2 ได้
✔️เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้าทรีที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) มีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ไม่เรื้อรัง
✔️เมล็ดเจียมีไฟเบอร์ โปรตีน และกรดไขมันโอเมก้า3 สูง จึงช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้
✔️เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้า3 สูงกว่าปลาแซลมอนถึง 9 เท่า ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานเป็นปกติ เราจึงมีกระบวนการเรียนรู้และจดจำดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่ แข็งแรง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และภาวะกระดูกบางได้
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์อยู่ประมาณ 34.4 กรัม ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณไฟเบอร์ที่เพียงพอสำหรับร่างกายในแต่ละวัน ที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยโปรตีน และแร่ธาตุฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายเรา เพื่อดูดซึมไปใช้กระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
อารมณ์ดี กรดอะมิโนทริปโตเฟนในเมล็ดเจียเป็นกรดอะมิโนชนิดเดียวกับที่พบในนม ช่วยคุมความอยากอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ และช่วยปรับปรุงอารมณ์ให้เป็นปกติ
✔️เมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูง อุดมด้วยไขมันดี อีกทั้งยังกินแล้วย่อยง่ายด้วย ดังนั้น เราจึงหายห่วงเรื่องกินอิ่มแล้วมีพุงป่องยื่นออกมา
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดไซเลียม หรือเส้นใยกลุ่มล้างสารพิษ ช่วยดูดซึมสารพิษตกค้างในลำไส้ ให้ระบายออกมาในรูปของเสีย และยังช่วยให้เราท้องไม่ผูกอีกด้วย
✔️เมล็ดเจียมีสารอาหารประเภทโปรตีนอยู่ร้อยละ 20 ซึ่งมากกว่าโปรตีนที่พบในธัญพืช หรือเมล็ดข้าวชนิดต่าง ๆ ซะอีก จึงช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้ดีในยามที่เราต้องเคลื่อนไหวทำกิจกรรม ต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬา ที่ต้องการอาหารบำรุงร่างกายให้สามารถมีแรง เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องตัว
✔️เมล็ดเจียกินแล้วอิ่มสบายท้อง อีกทั้งยังมีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย ร่างกายไม่สะสมเป็นไขมัน เราจึงไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
✔️เมล็ดเจียมีสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุและวิตามินมากกว่าในผลไม้ตระกูลเบอร์รีซะอีก ช่วยบำรุงความงามให้ดูอ่อนวัยลงในด้านต่าง ๆ เช่น เส้นผมนุ่มสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังช่วยลดปัญหาสิวอีกด้วย
✔️เมล็ดเจียอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวันอย่างครบถ้วน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม ธาตุเหล็ก ซิงก์ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และกรดไขมันโอเมก้า3 ช่วย้วริมสร้างร่างกายไม่ให้ขาดสารอาหารได้เป็นอย่างดี
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันดีโอเมก้า-3 และ โอเมก้า-6 ช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เกิดการไหลเวียนเลือดดีเข้าสู่หัวใจ จึงเป็นผลให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น
✔️เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่อุดมด้วยไฟเบอร์สูงที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านโรคเบาหวานประเภท 2 ได้
✔️เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้าทรีที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) มีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ไม่เรื้อรัง
✔️เมล็ดเจียมีไฟเบอร์ โปรตีน และกรดไขมันโอเมก้า3 สูง จึงช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้
✔️เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้า3 สูงกว่าปลาแซลมอนถึง 9 เท่า ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานเป็นปกติ เราจึงมีกระบวนการเรียนรู้และจดจำดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่ แข็งแรง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และภาวะกระดูกบางได้
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์อยู่ประมาณ 34.4 กรัม ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณไฟเบอร์ที่เพียงพอสำหรับร่างกายในแต่ละวัน ที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยโปรตีน และแร่ธาตุฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายเรา เพื่อดูดซึมไปใช้กระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
อารมณ์ดี กรดอะมิโนทริปโตเฟนในเมล็ดเจียเป็นกรดอะมิโนชนิดเดียวกับที่พบในนม ช่วยคุมความอยากอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ และช่วยปรับปรุงอารมณ์ให้เป็นปกติ
✔️เมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูง อุดมด้วยไขมันดี อีกทั้งยังกินแล้วย่อยง่ายด้วย ดังนั้น เราจึงหายห่วงเรื่องกินอิ่มแล้วมีพุงป่องยื่นออกมา
✔️เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดไซเลียม หรือเส้นใยกลุ่มล้างสารพิษ ช่วยดูดซึมสารพิษตกค้างในลำไส้ ให้ระบายออกมาในรูปของเสีย และยังช่วยให้เราท้องไม่ผูกอีกด้วย
✔️เมล็ดเจียมีสารอาหารประเภทโปรตีนอยู่ร้อยละ 20 ซึ่งมากกว่าโปรตีนที่พบในธัญพืช หรือเมล็ดข้าวชนิดต่าง ๆ ซะอีก จึงช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้ดีในยามที่เราต้องเคลื่อนไหวทำกิจกรรม ต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬา ที่ต้องการอาหารบำรุงร่างกายให้สามารถมีแรง เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องตัว
✔️เมล็ดเจียกินแล้วอิ่มสบายท้อง อีกทั้งยังมีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย ร่างกายไม่สะสมเป็นไขมัน เราจึงไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
✔️เมล็ดเจียมีสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุและวิตามินมากกว่าในผลไม้ตระกูลเบอร์รีซะอีก ช่วยบำรุงความงามให้ดูอ่อนวัยลงในด้านต่าง ๆ เช่น เส้นผมนุ่มสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังช่วยลดปัญหาสิวอีกด้วย
✔️เมล็ดเจียอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวันอย่างครบถ้วน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม ธาตุเหล็ก ซิงก์ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และกรดไขมันโอเมก้า3 ช่วย้วริมสร้างร่างกายไม่ให้ขาดสารอาหารได้เป็นอย่างดี
9. โปรตีนจากคิวนัว(Quinoa Protien)
ประโยชน์ของโปรตีนคิวนัวที่ดีต่อสุขภาพ (Quinao Protien)
✔️มีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยในควินัวจะอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์ 2 ชนิด ได้แก่ เควอซิทิน (Quercetin) กับแคมพ์เฟอรอล (Kaempferol) และความจริงแล้วเควอซิทินกับแคมพ์เฟอรอลมีอยู่ในควินัวมากกว่าในแคนเบอร์รี่ ที่โดยปกติถือว่ามีเควอซิทินมาก เควอซิทินและแคมพ์เฟอรอลเป็นโมเลกุลที่สำคัญ เนื่องจากมีงานวิจัยที่ชี้ว่าสามารถช่วยต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านมะเร็ง รวมถึงต้านโรคซึมเศร้าในการทดลองกับสัตว์
ดังนั้นการเพิ่มควินัวไปในมื้ออาหารจึงมีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากควินัวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์ทั้ง 2 ชนิดคือ เควอซิทินและแคมพ์เฟอรอล
✔️มีไฟเบอร์สูงควินัวมีไฟเบอร์สูง โดยมีงานวิจัยที่ศึกษาพันธุ์ของควินัว 4 พันธุ์ ผลการศึกษาพบว่าควินัว 100 กรัมจะมีไฟเบอร์ 10-16 กรัม ซึ่งถ้าคุณกินควินัวปริมาณ 1 ถ้วยคุณจะได้รับไฟเบอร์ 17-27 กรัมต่อถ้วย ควินัวจึงถือว่ามีไฟเบอร์สูงกว่าธัญพืชส่วนใหญ่ถึง 2 เท่า แต่อย่างไรก็ตามการนำควินัวไปต้มอาจทำให้ได้รับไฟเบอร์ลดลง เนื่องจากควินัวดูดซึมน้ำเข้าไปมากเพิ่มเติมไปกว่านั้น ไฟเบอร์ส่วนใหญ่ในควินัวเป็นไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งจะมีประโยชน์ไม่มากเท่ากับไฟเบอร์ที่ละลายน้ำ แต่อย่างไรก็ตามในควินัวก็ยังคงมีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำอยู่ด้วย ซึ่งมีประมาณ 2.5 กรัมต่อถ้วย หรือไฟเบอร์ (ที่ละลายน้ำ) 1.5 กรัมต่อควินัว 100 กรัม โดยประโยชน์ของไฟเบอร์ที่ละลายน้ำคือสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มความอิ่ม
✔️มีโปรตีนสูง และมีกรดอะมิโนที่จำเป็น 9 ชนิด
ซึ่งหมายถึงกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และต้องได้รับกรดอะมิโนเหล่านี้จากการกินอาหาร ซึ่งอาหารที่เป็นพืชส่วนใหญ่จะขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางชนิด เช่น ไลซีน (Lysine) แต่สำหรับควินัวคือข้อยกเว้น เนื่องจากควินัวมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้เองควินัวจึงเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี โดยเฉพาะกับผู้ที่กินมังสวิรัติ และการกินควินัว 1 ถ้วย (185 กรัม) จะมีโปรตีน 8 กรัม
✔️ไม่มีกลูเตน (Gluten-Free)
หลายคนมีอาการแพ้กลูเตนจึงต้องกินอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของกลูเตน หรืออาหารกลูเตนฟรี (Gluten-Free) ซึ่งควินัวโดยธรรมชาติแล้วไม่มีกลูเตน และถ้าหากใช้ควินัวเป็นส่วนผสมในอาหาร แทนการใช้ส่วนผสมทั่วไปที่ปลอดกลูเตนอย่างมันสำปะหลัง มันฝรั่ง แป้งข้าวโพดหรือแป้งข้าวเจ้า ก็จะทำให้ได้รับประโยชน์มากมายจากควินัว ที่มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและอุดมไปด้วยสารอาหาร
✔️ควินัวดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดัชนีน้ำตาล (Glycemic index) เป็นการวัดว่าเร็วแค่ไหนที่อาหารจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ และควินัวมีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index)การกินอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูงสามารถกระตุ้นความหิว และมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับอาการต่างๆ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เรื้อรังและโรคหัวใจ ซึ่งควินัวเป็นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลเท่ากับ 53 ที่ถือว่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่อย่างไรก็ตามควินัวยังคงมีคาร์โบไฮเดรตสูง ดังนั้นถ้าคุณกำลังกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำอยู่ ควินัวจึงอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
✔️มีประโยชน์ต่อกระบวนการการเผาผลาญงานวิจัยพบว่าการใช้ ควินัว แทนขนมปังและพาสต้าที่ไม่มีกลูเตน สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงลดระดับอินซูลินและไตรกลีเซอไรด์ด้วย แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยเกี่ยวกับควินัวและการเผาผลาญพลังงานยังคงต้องการการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
✔️มีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยในควินัวจะอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์ 2 ชนิด ได้แก่ เควอซิทิน (Quercetin) กับแคมพ์เฟอรอล (Kaempferol) และความจริงแล้วเควอซิทินกับแคมพ์เฟอรอลมีอยู่ในควินัวมากกว่าในแคนเบอร์รี่ ที่โดยปกติถือว่ามีเควอซิทินมาก เควอซิทินและแคมพ์เฟอรอลเป็นโมเลกุลที่สำคัญ เนื่องจากมีงานวิจัยที่ชี้ว่าสามารถช่วยต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านมะเร็ง รวมถึงต้านโรคซึมเศร้าในการทดลองกับสัตว์
ดังนั้นการเพิ่มควินัวไปในมื้ออาหารจึงมีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากควินัวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์ทั้ง 2 ชนิดคือ เควอซิทินและแคมพ์เฟอรอล
✔️มีไฟเบอร์สูงควินัวมีไฟเบอร์สูง โดยมีงานวิจัยที่ศึกษาพันธุ์ของควินัว 4 พันธุ์ ผลการศึกษาพบว่าควินัว 100 กรัมจะมีไฟเบอร์ 10-16 กรัม ซึ่งถ้าคุณกินควินัวปริมาณ 1 ถ้วยคุณจะได้รับไฟเบอร์ 17-27 กรัมต่อถ้วย ควินัวจึงถือว่ามีไฟเบอร์สูงกว่าธัญพืชส่วนใหญ่ถึง 2 เท่า แต่อย่างไรก็ตามการนำควินัวไปต้มอาจทำให้ได้รับไฟเบอร์ลดลง เนื่องจากควินัวดูดซึมน้ำเข้าไปมากเพิ่มเติมไปกว่านั้น ไฟเบอร์ส่วนใหญ่ในควินัวเป็นไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งจะมีประโยชน์ไม่มากเท่ากับไฟเบอร์ที่ละลายน้ำ แต่อย่างไรก็ตามในควินัวก็ยังคงมีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำอยู่ด้วย ซึ่งมีประมาณ 2.5 กรัมต่อถ้วย หรือไฟเบอร์ (ที่ละลายน้ำ) 1.5 กรัมต่อควินัว 100 กรัม โดยประโยชน์ของไฟเบอร์ที่ละลายน้ำคือสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มความอิ่ม
✔️มีโปรตีนสูง และมีกรดอะมิโนที่จำเป็น 9 ชนิด
ซึ่งหมายถึงกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และต้องได้รับกรดอะมิโนเหล่านี้จากการกินอาหาร ซึ่งอาหารที่เป็นพืชส่วนใหญ่จะขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางชนิด เช่น ไลซีน (Lysine) แต่สำหรับควินัวคือข้อยกเว้น เนื่องจากควินัวมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้เองควินัวจึงเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี โดยเฉพาะกับผู้ที่กินมังสวิรัติ และการกินควินัว 1 ถ้วย (185 กรัม) จะมีโปรตีน 8 กรัม
✔️ไม่มีกลูเตน (Gluten-Free)
หลายคนมีอาการแพ้กลูเตนจึงต้องกินอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของกลูเตน หรืออาหารกลูเตนฟรี (Gluten-Free) ซึ่งควินัวโดยธรรมชาติแล้วไม่มีกลูเตน และถ้าหากใช้ควินัวเป็นส่วนผสมในอาหาร แทนการใช้ส่วนผสมทั่วไปที่ปลอดกลูเตนอย่างมันสำปะหลัง มันฝรั่ง แป้งข้าวโพดหรือแป้งข้าวเจ้า ก็จะทำให้ได้รับประโยชน์มากมายจากควินัว ที่มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและอุดมไปด้วยสารอาหาร
✔️ควินัวดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดัชนีน้ำตาล (Glycemic index) เป็นการวัดว่าเร็วแค่ไหนที่อาหารจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ และควินัวมีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index)การกินอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูงสามารถกระตุ้นความหิว และมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับอาการต่างๆ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เรื้อรังและโรคหัวใจ ซึ่งควินัวเป็นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลเท่ากับ 53 ที่ถือว่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่อย่างไรก็ตามควินัวยังคงมีคาร์โบไฮเดรตสูง ดังนั้นถ้าคุณกำลังกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำอยู่ ควินัวจึงอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
✔️มีประโยชน์ต่อกระบวนการการเผาผลาญงานวิจัยพบว่าการใช้ ควินัว แทนขนมปังและพาสต้าที่ไม่มีกลูเตน สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงลดระดับอินซูลินและไตรกลีเซอไรด์ด้วย แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยเกี่ยวกับควินัวและการเผาผลาญพลังงานยังคงต้องการการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
10. Sunflower Seed Protein
ประโยชน์ของโปรตีนจากเมล็ดทานตะวัน( Sunflower Seed Protein)
✔️บำรุงผิวให้มีสุขภาพดี ในเมล็ดทานตะวันเต็มไปด้วยทองแดง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลิตเมลานินที่จะช่วยทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส จึงทำให้ผิวมีสุขภาพดีอยู่เสมอ
✔️กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เมล็ดทานตะวันมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ป้องกันเยื่อหุ้มเซลล์ กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้
✔️ปรับสมดุลในร่างกาย การรับประทานเมล็ดทานตะวันจะช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะช่วยกระตุ้นให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
✔️ช่วยขับหนองใน เมล็ดทานตะวันมีสรรพคุณที่ช่วยในการขับหนองใน ซึ่งเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง โดยจะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น
✔️บำรุงตับไต เมล็ดทานตะวันมีสรรพคุณช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง พร้อมขับสารพิษและของเสียออกไปจากร่างกาย
✔️บำรุงสายตา การรับประทานเมล็ดทานตะวันเป็นประจำ จะช่วยบำรุงและปกป้องดวงตาจากการเสื่อมสภาพและถูกทำลายด้วยแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และจอโทรศัพท์มือถือได้ เพราะมีวิตามินเอสูง และยังลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกได้อีกด้วย
✔️เป็นยาขับปัสสาวะ เมล็ดทานตะวันมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ โดยน้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวัน จะช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะติดขัด แก้นิ่ว และบรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
✔️ต้านอนุมูลอิสระ เมล็ดทานตะวัน มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้ผิวพรรณดูเต่งตึง อ่อนเยาว์อยู่เสมอ
✔️รักษาโรคบิด โรคบิดสามารถบรรเทาและรักษาให้หายได้ด้วยการทานเมล็ดทานตะวัน โดยจะช่วยลดความรุนแรงของอาการลง ในกรณีที่มีอาการบิดและถ่ายเป็นเลือดร่วมด้วย ก็สามารถใช้ดอกและฝักของต้นทานตะวันมาใช้ในการรักษาให้หายเป็นปกติได้
✔️บำรุงผิวให้มีสุขภาพดี ในเมล็ดทานตะวันเต็มไปด้วยทองแดง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลิตเมลานินที่จะช่วยทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส จึงทำให้ผิวมีสุขภาพดีอยู่เสมอ
✔️กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เมล็ดทานตะวันมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ป้องกันเยื่อหุ้มเซลล์ กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้
✔️ปรับสมดุลในร่างกาย การรับประทานเมล็ดทานตะวันจะช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะช่วยกระตุ้นให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
✔️ช่วยขับหนองใน เมล็ดทานตะวันมีสรรพคุณที่ช่วยในการขับหนองใน ซึ่งเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง โดยจะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น
✔️บำรุงตับไต เมล็ดทานตะวันมีสรรพคุณช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง พร้อมขับสารพิษและของเสียออกไปจากร่างกาย
✔️บำรุงสายตา การรับประทานเมล็ดทานตะวันเป็นประจำ จะช่วยบำรุงและปกป้องดวงตาจากการเสื่อมสภาพและถูกทำลายด้วยแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และจอโทรศัพท์มือถือได้ เพราะมีวิตามินเอสูง และยังลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกได้อีกด้วย
✔️เป็นยาขับปัสสาวะ เมล็ดทานตะวันมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ โดยน้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวัน จะช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะติดขัด แก้นิ่ว และบรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
✔️ต้านอนุมูลอิสระ เมล็ดทานตะวัน มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้ผิวพรรณดูเต่งตึง อ่อนเยาว์อยู่เสมอ
✔️รักษาโรคบิด โรคบิดสามารถบรรเทาและรักษาให้หายได้ด้วยการทานเมล็ดทานตะวัน โดยจะช่วยลดความรุนแรงของอาการลง ในกรณีที่มีอาการบิดและถ่ายเป็นเลือดร่วมด้วย ก็สามารถใช้ดอกและฝักของต้นทานตะวันมาใช้ในการรักษาให้หายเป็นปกติได้
11. Rice Protein
ประโยชน์ของโปรตีนจากข้าวกล้อง( Rice Protein)
✔️ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน
✔️ช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
✔️ช่วยในเรื่องการทำงานของตับโปรตีนจากข้าวกล้องมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดกับเซลล์ โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งมันทำให้เกิดโรคตับ มะเร็งตับ ไขมันพอกตับได้
✔️ควบคุมคอเลสเตอรอล โปรตีนจากข้าวกล้องจะช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เปปไทด์ในโปรตีนของข้าวกล้อง นอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยตับของคุณในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลที่สร้างขึ้นโดยตับเอง
✔️ดีต่อสุขภาพของหัวใจ
✔️ดีต่อสุขภาพของไต การศึกษาในระยะยาวอื่นๆ การตรวจสอบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease: CKD)แสดงให้เห็นว่า โปรตีนจากพืช (เช่นโปรตีนจากข้าวกล้อง) เชื่อมโยงกับสารพิษในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งมักจะสะสมในเลือดของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานของไตไม่ดีนั่นเอง การบริโภคโปรตีนจากพืชที่เพิ่มขึ้น 10 กรัมต่อวัน จะลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตลดลง 14%
✔️กินแล้วไม่แพ้ และย่อยง่าย ผงข้าวกล้องงอกนั้นปราศจากกลูเตน และนม ซึ่งมีน้อยคนมากที่แพ้โปรตีนจากข้าวกล้อง มันแตกต่างจากเวย์ ซึ่งเวย์จะไม่แนะนำสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตสหรือกลูเตน โปรตีนจากข้าวกล้องงอกนั้นถูกย่อยได้ง่ายมาก และไม่ทำร้ายกระเพาะอาหารด้วย
✔️ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน
✔️ช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
✔️ช่วยในเรื่องการทำงานของตับโปรตีนจากข้าวกล้องมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดกับเซลล์ โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งมันทำให้เกิดโรคตับ มะเร็งตับ ไขมันพอกตับได้
✔️ควบคุมคอเลสเตอรอล โปรตีนจากข้าวกล้องจะช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เปปไทด์ในโปรตีนของข้าวกล้อง นอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยตับของคุณในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลที่สร้างขึ้นโดยตับเอง
✔️ดีต่อสุขภาพของหัวใจ
✔️ดีต่อสุขภาพของไต การศึกษาในระยะยาวอื่นๆ การตรวจสอบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease: CKD)แสดงให้เห็นว่า โปรตีนจากพืช (เช่นโปรตีนจากข้าวกล้อง) เชื่อมโยงกับสารพิษในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งมักจะสะสมในเลือดของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานของไตไม่ดีนั่นเอง การบริโภคโปรตีนจากพืชที่เพิ่มขึ้น 10 กรัมต่อวัน จะลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตลดลง 14%
✔️กินแล้วไม่แพ้ และย่อยง่าย ผงข้าวกล้องงอกนั้นปราศจากกลูเตน และนม ซึ่งมีน้อยคนมากที่แพ้โปรตีนจากข้าวกล้อง มันแตกต่างจากเวย์ ซึ่งเวย์จะไม่แนะนำสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตสหรือกลูเตน โปรตีนจากข้าวกล้องงอกนั้นถูกย่อยได้ง่ายมาก และไม่ทำร้ายกระเพาะอาหารด้วย
12. สารสกัดจากผงดาวอินคา
ประโยชน์ของดาวอินคา ( Inca Peanut Powder)
✔️ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
✔️ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
✔️ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ป้องกันโรคพาร์กินสัน
✔️ช่วยควบคุมอาการอักเสบ ปวด บวม อาการปวดข้อรูมาตอยด์ บรรเทาโรคไขข้ออักเสบ
✔️ควบคุมโรคเบาหวาน ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ
✔️ส่งเสริมการทำงานของเรตินาในดวงตาให้มีประสิทธิภาพปรับความดันจอประสาทตา
✔️ป้องกันการสูญเสียความชื้นจากผิวหนัง
✔️บำรุงรักษาอาการป่วยโรคกลากเกลื้อนและสเก็ดเงิน
✔️ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
✔️ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
✔️ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ป้องกันโรคพาร์กินสัน
✔️ช่วยควบคุมอาการอักเสบ ปวด บวม อาการปวดข้อรูมาตอยด์ บรรเทาโรคไขข้ออักเสบ
✔️ควบคุมโรคเบาหวาน ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ
✔️ส่งเสริมการทำงานของเรตินาในดวงตาให้มีประสิทธิภาพปรับความดันจอประสาทตา
✔️ป้องกันการสูญเสียความชื้นจากผิวหนัง
✔️บำรุงรักษาอาการป่วยโรคกลากเกลื้อนและสเก็ดเงิน
13. Pumpkin seed Protein
ประโยชน์ของโปรตีนจากเมล็ดฟักทอง (Pumpkin Seed Protein)
✔️ช่วยควบคุมความดันโลหิต
เนื่องจากโพแทสเซียมและวิตามิน ซี ในฟักทองล้วนเป็นแร่ธาตุในการบำรุงหัวใจ มีงานวิจัยค้นพบว่าการบริโภคโพแทสเซียมอย่างเพียงพอสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย
✔️ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง
ฟักทองอุดมไปด้วย วิตามิน ซี, วิตามิน อี และเบต้า แคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีงานวิจัยพบว่า ระดับความเข้มข้นของ plasma lycopene [ชนิด beta-carotene] มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับความเสี่ยงการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ที่มีอายุมากและผู้ที่ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
✔️ช่วยต่อต้านโรคเบาหวาน
สารประกอบบางชนิดที่มีในฟักทองเป็นส่วนสำคัญในดูดซึมกลูโคสในเนื้อเยื่อและลำไส้ ซึ่งเป็นการช่วยรักษาความสมดุลของกลูโคสในตับ วิธีการเช่นนี้สามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
✔️ช่วยระบบระย่อยอาหารและป้องกันมะเร็งลำไส้
ฟักทองเป็นผลไม้ที่เป็นแหล่งของเส้นใย ซึ่งเส้นใยเหล่านี้มีคุณสมบัติในการช่วยลดอัตราการดูดซึมกลูโคสในเลือดและช่วยการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นการบริโภคฟักทองจึงเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
✔️ช่วยควบคุมความดันโลหิต
เนื่องจากโพแทสเซียมและวิตามิน ซี ในฟักทองล้วนเป็นแร่ธาตุในการบำรุงหัวใจ มีงานวิจัยค้นพบว่าการบริโภคโพแทสเซียมอย่างเพียงพอสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย
✔️ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง
ฟักทองอุดมไปด้วย วิตามิน ซี, วิตามิน อี และเบต้า แคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีงานวิจัยพบว่า ระดับความเข้มข้นของ plasma lycopene [ชนิด beta-carotene] มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับความเสี่ยงการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ที่มีอายุมากและผู้ที่ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
✔️ช่วยต่อต้านโรคเบาหวาน
สารประกอบบางชนิดที่มีในฟักทองเป็นส่วนสำคัญในดูดซึมกลูโคสในเนื้อเยื่อและลำไส้ ซึ่งเป็นการช่วยรักษาความสมดุลของกลูโคสในตับ วิธีการเช่นนี้สามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
✔️ช่วยระบบระย่อยอาหารและป้องกันมะเร็งลำไส้
ฟักทองเป็นผลไม้ที่เป็นแหล่งของเส้นใย ซึ่งเส้นใยเหล่านี้มีคุณสมบัติในการช่วยลดอัตราการดูดซึมกลูโคสในเลือดและช่วยการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นการบริโภคฟักทองจึงเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
14. Pyridoxine Hydrochloride (Vitamin B6)
ประโยชน์ของวิตามินบี6 (Vitamin B6)
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
✔️ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
✔️ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
✔️ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
✔️ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟนให้เป็นไนอะซิน (วิตามินบี 3)
✔️ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
✔️ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
✔️ช่วยชะลอวัยได้
✔️เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
✔️ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
✔️ลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
✔️ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
✔️ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
✔️ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
✔️ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟนให้เป็นไนอะซิน (วิตามินบี 3)
✔️ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
✔️ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
✔️ช่วยชะลอวัยได้
✔️เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
✔️ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
✔️ลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก
15. Vitamin D3
ประโยชน์ของวิตามินดี3 (Vitamin D3)
✔️เสริมภูมิคุ้มกัน (Boost Immunity)
การรับประทานวิตามินดี3 (Vitamin D3) อย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราได้ เมื่อร่างกายของเรา ได้รับวิตามินดี3 จะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าเปรียบเสมือนทหาร ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และ เชื้อราที่เข้ามาทำอันตรายเรา จึงทำให้ภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น แข็งแรงมากขึ้น
✔️ เสริมการทำงานของแคลเซียม
ผู้ที่มีปัญหากระดูกพรุน เสื่อมบาง ควรรับประทานวิตามินดี3 (Vitamin D3) ควบคู่กับแคลเซียมเพราะแคลเซียม ไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ เมื่อร่างกายได้รับแคลเซียม แคลเซียมจะล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด รอให้วิตามินดีเข้ามาจับ และนำพาไปที่กระดูก เพื่อเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงมากขึ้น มีความหนามากขึ้น ลดความเสี่ยงของมวลกระดูกพรุน
✔️ช่วยเสริมความแข็งแรงในการออกกำลังกาย
ช่วยให้ร่างกายฟิตมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ไม่เพลียง่าย ลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เนื่องจากวิตามินดี3 (Vitamin D3) ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นทำให้กล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บจากการ ออกกำลังกาย ได้รับการซ่อมแซมมากขึ้น และกลับมาใช้งานได้ปกติไวกว่าคนที่ขาดวิตามินดี 3 (Vitamin D3)
✔️ลดความเครียด ช่วยในการนอนหลับ และฟื้นฟูผิว
วิตามินดี3 (Vitamin D3) กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองชื่อ “ซีโรโตนิน” ซึ่งช่วยลดความเครียด ลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้น เมื่อเรานอนพักผ่อนเพียงพอ ร่างกายของเราก็จะผลิตโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้เพียงพอ ซึ่งทำให้เรามีผิวพรรณอ่อนกว่าวัย เปล่งปลั่ง เนียน ชุ่มชื่น ลดความเสื่อมของเซลล์ผิว และช่วยให้อารมณ์ดีอีกด้วย
✔️ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
เมื่อร่างกายของเราได้รับวิตามินดี3 (Vitamin D3) ในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการ เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
✔️เสริมภูมิคุ้มกัน (Boost Immunity)
การรับประทานวิตามินดี3 (Vitamin D3) อย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราได้ เมื่อร่างกายของเรา ได้รับวิตามินดี3 จะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าเปรียบเสมือนทหาร ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และ เชื้อราที่เข้ามาทำอันตรายเรา จึงทำให้ภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น แข็งแรงมากขึ้น
✔️ เสริมการทำงานของแคลเซียม
ผู้ที่มีปัญหากระดูกพรุน เสื่อมบาง ควรรับประทานวิตามินดี3 (Vitamin D3) ควบคู่กับแคลเซียมเพราะแคลเซียม ไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ เมื่อร่างกายได้รับแคลเซียม แคลเซียมจะล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด รอให้วิตามินดีเข้ามาจับ และนำพาไปที่กระดูก เพื่อเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงมากขึ้น มีความหนามากขึ้น ลดความเสี่ยงของมวลกระดูกพรุน
✔️ช่วยเสริมความแข็งแรงในการออกกำลังกาย
ช่วยให้ร่างกายฟิตมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ไม่เพลียง่าย ลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เนื่องจากวิตามินดี3 (Vitamin D3) ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นทำให้กล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บจากการ ออกกำลังกาย ได้รับการซ่อมแซมมากขึ้น และกลับมาใช้งานได้ปกติไวกว่าคนที่ขาดวิตามินดี 3 (Vitamin D3)
✔️ลดความเครียด ช่วยในการนอนหลับ และฟื้นฟูผิว
วิตามินดี3 (Vitamin D3) กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองชื่อ “ซีโรโตนิน” ซึ่งช่วยลดความเครียด ลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้น เมื่อเรานอนพักผ่อนเพียงพอ ร่างกายของเราก็จะผลิตโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้เพียงพอ ซึ่งทำให้เรามีผิวพรรณอ่อนกว่าวัย เปล่งปลั่ง เนียน ชุ่มชื่น ลดความเสื่อมของเซลล์ผิว และช่วยให้อารมณ์ดีอีกด้วย
✔️ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
เมื่อร่างกายของเราได้รับวิตามินดี3 (Vitamin D3) ในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการ เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
16. Pantothenic Acid (Vitamin B5)
ประโยชน์ของวิตามินบี 5 (Vitamin B5)
✔️ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
✔️ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
✔️ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
✔️ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
✔️ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
✔️ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
✔️ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
✔️ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
✔️ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
✔️ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
✔️ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
✔️ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
✔️ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
✔️ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
✔️ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
✔️ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
✔️ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
17. Thiamine Hydrochloride (Vitamin B1)
ประโยชน์ของวิตามินบี 1(Vitamin B1)
✔️รักษาโรคจากการขาดวิตามินบี 1 ได้แก่โรคเหน็บชา
✔️สริมสร้างการเจริญเติบโต
✔️ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้เป็นดี
✔️ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
✔️ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
✔️ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
✔️บรรเทาอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดทำฟัน
✔️ช่วยรักษาโรคงูสวัด
✔️วิตามินชนิดนี้มีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะอย่างอ่อน ๆ
✔️รักษาโรคจากการขาดวิตามินบี 1 ได้แก่โรคเหน็บชา
✔️สริมสร้างการเจริญเติบโต
✔️ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้เป็นดี
✔️ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
✔️ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
✔️ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
✔️บรรเทาอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดทำฟัน
✔️ช่วยรักษาโรคงูสวัด
✔️วิตามินชนิดนี้มีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะอย่างอ่อน ๆ
18. Chromium Picolinate 100%
ประโยชน์ของธาตุโครเมียม
✔️ธาตุโครเมียม (Chromium) ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย
✔️ช่วยนำโปรตีนไปยังส่วนที่ต้องใช้ในร่างกาย
✔️ช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและช่วยลดความดันโลหิต
✔️ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
✔️โครเมียมทำงานร่วมกับอินซูลินในกระบวนการเผาผลาญน้ำตาล
✔️มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมดในร่างกาย และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีให้แก่ร่างกาย
✔️โครเมียมพิโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกายและไปช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
✔️ช่วยป้องกันอาการขาดน้ำตาล
✔️ช่วยป้องกันการเกิดภาวะอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงอย่างเฉียบพลัน
✔️ช่วยป้องกันกระดูกเปราะบาง
✔️ธาตุโครเมียม (Chromium) ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย
✔️ช่วยนำโปรตีนไปยังส่วนที่ต้องใช้ในร่างกาย
✔️ช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและช่วยลดความดันโลหิต
✔️ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
✔️โครเมียมทำงานร่วมกับอินซูลินในกระบวนการเผาผลาญน้ำตาล
✔️มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมดในร่างกาย และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีให้แก่ร่างกาย
✔️โครเมียมพิโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกายและไปช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
✔️ช่วยป้องกันอาการขาดน้ำตาล
✔️ช่วยป้องกันการเกิดภาวะอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงอย่างเฉียบพลัน
✔️ช่วยป้องกันกระดูกเปราะบาง
19. Cyanocobalamin (Vitamin B12)
ประโยชน์ของวิตามินบี 12
✔️ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
✔️ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
✔️ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
✔️ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
✔️ประโยชน์วิตามินบี 12 ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
✔️ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
✔️มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
✔️ประโยชน์ของวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
✔️ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
✔️ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
✔️ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
✔️ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
✔️ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
✔️ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
✔️ประโยชน์วิตามินบี 12 ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
✔️ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
✔️มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
✔️ประโยชน์ของวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
✔️ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
✔️ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
20. Ascorbic Acid (Vitamin C)
ประโยชน์ของวิตามินซี (Vitamin C)
✔️เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยปกป้องเซลล์
✔️ เสริมภูมิต้านทานและช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ เนื่องจากวิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
✔️กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย จุดด่างดำจากรอยแผลเป็น และรอยสิวต่างๆได้
✔️ช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว
✔️ช่วยปรับสีผิวที่คล้ำจากแสงแดดให้ดูกระจ่างใสมากขึ้น
✔️ ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
✔️ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด
✔️ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
✔️ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
✔️ช่วยดูแลดวงตา ต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้น ลดความเสี่ยงการเกิดโรคต้อกระจก
✔️ช่วยสมานแผลสดและแผลไฟไหม้ให้หายเร็วขึ้น เนื่องจากวิตามินซีช่วยให้ร่ายกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยไปเสริมสร้างผนัง เซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง แผลจึงหายได้เร็วขึ้น
✔️เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยปกป้องเซลล์
✔️ เสริมภูมิต้านทานและช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ เนื่องจากวิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
✔️กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย จุดด่างดำจากรอยแผลเป็น และรอยสิวต่างๆได้
✔️ช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว
✔️ช่วยปรับสีผิวที่คล้ำจากแสงแดดให้ดูกระจ่างใสมากขึ้น
✔️ ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
✔️ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด
✔️ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
✔️ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
✔️ช่วยดูแลดวงตา ต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้น ลดความเสี่ยงการเกิดโรคต้อกระจก
✔️ช่วยสมานแผลสดและแผลไฟไหม้ให้หายเร็วขึ้น เนื่องจากวิตามินซีช่วยให้ร่ายกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยไปเสริมสร้างผนัง เซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง แผลจึงหายได้เร็วขึ้น
21. DL-Alpha-Tocopherol Acetate (วิตามินอี)
ประโยชน์ของวิตามินอี (Vitamin E)
✔️ช่วยทำให้แลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์
✔️ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี
✔️ช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพความทนทาน
✔️ช่วยปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ โดยทำงานร่วมกับวิตามินเอ
✔️ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด
✔️เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์
✔️ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
✔️ช่วยป้องกันและสลายลิ่มเลือด
✔️ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย
✔️ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก
✔️ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอกและภายใน
✔️เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วยิ่งขึ้น
✔️ทำงานคล้ายยาขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต
✔️ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง
✔️บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง
✔️ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์ อัมพาต
✔️ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้
✔️ช่วยทำให้แลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์
✔️ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี
✔️ช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพความทนทาน
✔️ช่วยปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ โดยทำงานร่วมกับวิตามินเอ
✔️ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด
✔️เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์
✔️ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
✔️ช่วยป้องกันและสลายลิ่มเลือด
✔️ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย
✔️ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก
✔️ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอกและภายใน
✔️เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วยิ่งขึ้น
✔️ทำงานคล้ายยาขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต
✔️ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง
✔️บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง
✔️ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์ อัมพาต
✔️ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้
22. Riboflavin (Vitamin B2) 99.5%
ประโยชน์ของวิตามินบี 2 (Vitamin B2)
✔️ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
✔️บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
✔️เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
✔️ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
✔️กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
✔️ทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน
✔️ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
✔️บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
✔️เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
✔️ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
✔️กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
✔️ทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน
23. เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene 4%)
ประโยชน์ของเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
✔️บำรุงสุขภาพของดวงตา เบต้าแคโรทีน เมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้วจะได้วิตามินเอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอปซินในดวงตาส่วน เรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย
✔️ชะลอความแก่ เบต้าแคโรทีนให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกระบวนการแก่
✔️ดูแลรักษาผิวพรรณอันเป็นส่วนของร่างกายที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทราบว่าอนุมูลอิสระมีผลต่อเราแล้วหรือยัง เช่น ผิวเริ่มเหี่ยวย่น ไม่ผ่องใส
✔️ทั้งยังพบว่าเบต้าแคโรทีน ให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชื่อ ที-เฮลเปอร์ให้ทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ให้ผลดีกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็ง
✔️บำรุงสุขภาพของดวงตา เบต้าแคโรทีน เมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้วจะได้วิตามินเอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอปซินในดวงตาส่วน เรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย
✔️ชะลอความแก่ เบต้าแคโรทีนให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกระบวนการแก่
✔️ดูแลรักษาผิวพรรณอันเป็นส่วนของร่างกายที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทราบว่าอนุมูลอิสระมีผลต่อเราแล้วหรือยัง เช่น ผิวเริ่มเหี่ยวย่น ไม่ผ่องใส
✔️ทั้งยังพบว่าเบต้าแคโรทีน ให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชื่อ ที-เฮลเปอร์ให้ทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ให้ผลดีกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็ง
24. Niacinamide (Vitamin B3)
ประโยชน์ของวิตามินบี3 (Vitamin B3)
✔️มีส่วนร่วมในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน
✔️ช่วยควบคุมการทำงานของสมองและระบบประสาท
✔️ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร
✔️จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ
✔️ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
✔️การขาดไนอะซินจะทำให้เกิดโรคเพลลากรา (pellagra) จะมีอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ผิวหนัง และระบบประสาท
✔️ช่วยอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร คือ ปากและลิ้นอักเสบ แสบร้อนในคอ เบื่ออาหาร ท้องอืดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเดิน
✔️อาการทางผิวหนัง คือผิวหนังอักเสบแบบเดียวกันทั้งสองด้านของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกแสงแดด ความร้อน เช่น ที่มือ แขน หน้า ลำคอ และเท้า ตอนแรกจะเป็นผื่นแดงคล้ายถูกแดดเผา ถ้าไม่รีบรักษาจะทำให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น มักจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ในรายที่เป็นเรื้อรังผิวจะหนา เป็นร่อง มีสีเข้มขึ้น แห้งแตกเป็นเกล็ด ลอก และมีสะเก็ด เป็นบริเวณกว้าง
✔️อาการทางระบบประสาท จะมีอาการปวด มึนศีรษะ หงุดหงิด นอนไม่หลับ กังวล ซึมเศร้า ความจำเสื่อมและสับสน มีอาการแบบประสาทหลอน หากเป็นมากอาจวิกลจริต หรือมีความพิการทางสมอง
***เมื่อร่างกายได้รับวิตามินบี 3 ไม่เพียงพอ
จะทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย คันตามผิวหนัง ปลายประสาทและลิ้นอักเสบ ภาวะซีด ปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ซึมเศร้า โรคผิวหนัง ท้องร่วง อ่อนเพลีย***
✔️มีส่วนร่วมในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน
✔️ช่วยควบคุมการทำงานของสมองและระบบประสาท
✔️ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร
✔️จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ
✔️ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
✔️การขาดไนอะซินจะทำให้เกิดโรคเพลลากรา (pellagra) จะมีอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ผิวหนัง และระบบประสาท
✔️ช่วยอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร คือ ปากและลิ้นอักเสบ แสบร้อนในคอ เบื่ออาหาร ท้องอืดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเดิน
✔️อาการทางผิวหนัง คือผิวหนังอักเสบแบบเดียวกันทั้งสองด้านของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกแสงแดด ความร้อน เช่น ที่มือ แขน หน้า ลำคอ และเท้า ตอนแรกจะเป็นผื่นแดงคล้ายถูกแดดเผา ถ้าไม่รีบรักษาจะทำให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น มักจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ในรายที่เป็นเรื้อรังผิวจะหนา เป็นร่อง มีสีเข้มขึ้น แห้งแตกเป็นเกล็ด ลอก และมีสะเก็ด เป็นบริเวณกว้าง
✔️อาการทางระบบประสาท จะมีอาการปวด มึนศีรษะ หงุดหงิด นอนไม่หลับ กังวล ซึมเศร้า ความจำเสื่อมและสับสน มีอาการแบบประสาทหลอน หากเป็นมากอาจวิกลจริต หรือมีความพิการทางสมอง
***เมื่อร่างกายได้รับวิตามินบี 3 ไม่เพียงพอ
จะทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย คันตามผิวหนัง ปลายประสาทและลิ้นอักเสบ ภาวะซีด ปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ซึมเศร้า โรคผิวหนัง ท้องร่วง อ่อนเพลีย***
25. Magnesium Amino Acid Chelate 20%
ประโยชน์ของMagnesium Amino Acid Chelate (แมกนีเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต)
✔️ช่วยส่งเสริมการดูดซึมและการเผาผลาญของแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม
✔️ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการเผาผลาญสารอาหาร และการสังเคราะห์โปรตีน
✔️ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดตะคริวและรบกวนการทำงานของเส้นประสาทมีผลทำให้นอนไม่หลับ
✔️ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน ช่วยป้องกันอาการปวดท้อง ก่อนมีรอบเดือน ลดอาการซึมเศร้า ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับ
✔️โดยเป็นตัวที่ไปช่วยในการสร้างสารเมลาโทนิน เมื่อแมกนีเซียมรวมกับแคลเซียมแล้วจะทำงานคล้ายเป็นยาระงับประสาทจากธรรมชาติ ช่วยให้รู้สึกสงบ คลายเครียด
✔️ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
✔️ ป้องกันโรคทางหลอดเลือดหัวใจ โดยจะไปลดความดันเลือดลงและป้องกันการเกาะของโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดง ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
✔️ช่วยส่งเสริมการดูดซึมและการเผาผลาญของแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม
✔️ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการเผาผลาญสารอาหาร และการสังเคราะห์โปรตีน
✔️ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดตะคริวและรบกวนการทำงานของเส้นประสาทมีผลทำให้นอนไม่หลับ
✔️ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน ช่วยป้องกันอาการปวดท้อง ก่อนมีรอบเดือน ลดอาการซึมเศร้า ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับ
✔️โดยเป็นตัวที่ไปช่วยในการสร้างสารเมลาโทนิน เมื่อแมกนีเซียมรวมกับแคลเซียมแล้วจะทำงานคล้ายเป็นยาระงับประสาทจากธรรมชาติ ช่วยให้รู้สึกสงบ คลายเครียด
✔️ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
✔️ ป้องกันโรคทางหลอดเลือดหัวใจ โดยจะไปลดความดันเลือดลงและป้องกันการเกาะของโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดง ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
26. สารสกัดแอลกลูตาไธโอน (L-Glutathione 100%)
ประโยชน์ของแอลกลูตาไธโอน (L-Glutathione 100%)
✔️ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสมากขึ้น
โดยการทำงานของกลูต้าจะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)
ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างเมลานิน (Melanin) ในผิวลดลดลง
✔️กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอม
เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ได้ดียิ่งขึ้น
✔️เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันความเสื่อมสภาพให้เซลล์ภายในร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย ต้านการอักเสบ นอกจากนี้
สารต้านอนุมูลอิสระยังป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย
✔️ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย กลูต้ายังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น
✔️ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยทำให้ให้สารพิษ เช่นโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ละลายในไขมัน
และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น
✔️ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสมากขึ้น
โดยการทำงานของกลูต้าจะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)
ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างเมลานิน (Melanin) ในผิวลดลดลง
✔️กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอม
เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ได้ดียิ่งขึ้น
✔️เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันความเสื่อมสภาพให้เซลล์ภายในร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย ต้านการอักเสบ นอกจากนี้
สารต้านอนุมูลอิสระยังป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย
✔️ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย กลูต้ายังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น
✔️ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยทำให้ให้สารพิษ เช่นโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ละลายในไขมัน
และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น
27. สารสกัดจากอาร์ติโชค (Artichoke Extract)
ประโยชน์ของสารสกัดจากอาร์ติโชค (Artichoke Extract)
✔️กระตุ้นการตายของเซลล์และลดศักยภาพการรกรานของเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์สาย MDA-MB231
✔️บำรุงตับ ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ เพื่อช่วยระบบการย่อย่อยอาหาร
✔️กระตุ้นการสร้างน้ำดีของตับ เพื่อช่วยลดกรดในลำไส้ และช่วยย่อยไขมัน ลดไขมัน และลดคอเลสเตอรอลในเลือด
✔️ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือดดีขึ้น
✔️ป้องกันความเสี่ยงของไขมันอุดตันเส้นเลือด
✔️ป้องกันตับอักเสบ ตับแข็ง ดีซ่าน ถุงน้ำดีอักเสบ
✔️ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เธอเหม็นเปรี้ยวและลดแก๊สในกระเพาะอาหาร
✔️ลดโอกาสในการเป็นโรคโลหิตจาง เบาหวานและเกาต์
✔️กระตุ้นการตายของเซลล์และลดศักยภาพการรกรานของเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์สาย MDA-MB231
✔️บำรุงตับ ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ เพื่อช่วยระบบการย่อย่อยอาหาร
✔️กระตุ้นการสร้างน้ำดีของตับ เพื่อช่วยลดกรดในลำไส้ และช่วยย่อยไขมัน ลดไขมัน และลดคอเลสเตอรอลในเลือด
✔️ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือดดีขึ้น
✔️ป้องกันความเสี่ยงของไขมันอุดตันเส้นเลือด
✔️ป้องกันตับอักเสบ ตับแข็ง ดีซ่าน ถุงน้ำดีอักเสบ
✔️ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เธอเหม็นเปรี้ยวและลดแก๊สในกระเพาะอาหาร
✔️ลดโอกาสในการเป็นโรคโลหิตจาง เบาหวานและเกาต์
28. สารสกัดจากผงบัควีต (Buckwheat powder)
ประโยชน์ของสารสกัดจากผงบัควีต (Buckwheat powder)
✔️ปราศจากสารกลูเตน ซึ่งก่อให้เกิดการแพ้ได้ในบุคคลบางกลุ่ม
✔️บัควีทมีสรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาม ไปจนถึงผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
✔️มีสารอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ
✔️ลดโอกาสเกิดโรคมะเร็ง
✔️ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคร้ายอื่น ๆ ได้อย่างเห็นผล
✔️ส่งเสริมสุขภาพหัวใจโฮลเกรน บัควีทมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจ ลดความดันโลหิตซึ่งสามารถปรับปรุงสุขภาพของหัวใจไดบัควีทเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี ให้เป็นไปตามAHA ใยอาหารช่วยเพิ่มเลือด คอเลสเตอรอลระดับที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจที่เป็นโรคเบาหวาน , โรคหลอดเลือดสมองและโรคอ้วน
✔️ปรับปรุงการย่อยอาหาร บัควีทอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ใยอาหารเป็นคาร์โบไฮเดรตจากพืชชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ในระหว่างการย่อยอาหาร ไฟเบอร์สนับสนุนลำไส้ในการย่อยอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านทางเดินอาหาร นอกจากนี้ยังอาจมีประโยชน์อื่นๆ เช่น การส่งเสริมการลดน้ำหนักและการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยและไนอาซินทำให้บัควีทเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสุขภาพทางเดินอาหา
✔️ การจัดการโรคเบาหวาน บัควีทเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คาร์โบไฮเดรตรูปแบบนี้สามารถช่วยให้ผู้คนจัดการระดับน้ำตาลในเลือดได้ ร่างกายใช้เวลาในการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนนานกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ทำให้การย่อยอาหารช้าลงและช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้นานขึ้น ขนมปังขาวเป็นตัวอย่างหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตอย่างง่าย
ตามรายงานของสมาคมโรคเบาหวานแห่ง อาหารธัญพืชไม่ขัดสีเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่ดีเยี่ยมและสามารถให้เส้นใยและแร่ธาตุได้ บัควีทนั้นมีผลดีต่ออินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดในหนูที่เป็นโรคเบาหวานในอาหารที่มีน้ำตาลกลูโคสสูง
✔️ปราศจากสารกลูเตน ซึ่งก่อให้เกิดการแพ้ได้ในบุคคลบางกลุ่ม
✔️บัควีทมีสรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาม ไปจนถึงผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
✔️มีสารอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ
✔️ลดโอกาสเกิดโรคมะเร็ง
✔️ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคร้ายอื่น ๆ ได้อย่างเห็นผล
✔️ส่งเสริมสุขภาพหัวใจโฮลเกรน บัควีทมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจ ลดความดันโลหิตซึ่งสามารถปรับปรุงสุขภาพของหัวใจไดบัควีทเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี ให้เป็นไปตามAHA ใยอาหารช่วยเพิ่มเลือด คอเลสเตอรอลระดับที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจที่เป็นโรคเบาหวาน , โรคหลอดเลือดสมองและโรคอ้วน
✔️ปรับปรุงการย่อยอาหาร บัควีทอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ใยอาหารเป็นคาร์โบไฮเดรตจากพืชชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ในระหว่างการย่อยอาหาร ไฟเบอร์สนับสนุนลำไส้ในการย่อยอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านทางเดินอาหาร นอกจากนี้ยังอาจมีประโยชน์อื่นๆ เช่น การส่งเสริมการลดน้ำหนักและการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยและไนอาซินทำให้บัควีทเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสุขภาพทางเดินอาหา
✔️ การจัดการโรคเบาหวาน บัควีทเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คาร์โบไฮเดรตรูปแบบนี้สามารถช่วยให้ผู้คนจัดการระดับน้ำตาลในเลือดได้ ร่างกายใช้เวลาในการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนนานกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ทำให้การย่อยอาหารช้าลงและช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้นานขึ้น ขนมปังขาวเป็นตัวอย่างหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตอย่างง่าย
ตามรายงานของสมาคมโรคเบาหวานแห่ง อาหารธัญพืชไม่ขัดสีเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่ดีเยี่ยมและสามารถให้เส้นใยและแร่ธาตุได้ บัควีทนั้นมีผลดีต่ออินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดในหนูที่เป็นโรคเบาหวานในอาหารที่มีน้ำตาลกลูโคสสูง